ชีวประวัติครูบาศรีวิชัย

ครูบาศรีวิชัย : ประวัติของพระเถระผู้เป็นต้นแบบด้านคุณธรรม และจริยธรรมของล้านนา

ความสำคัญของการส่งเสริมให้คนไทยมีคุณลักษณะที่ดีพึงประสงค์ส่งผลให้คุณลักษณะเชิงคุณธรรม
จริยธรรมมีความสำคัญตามไปด้วย เพราะคุณธรรม และจริยธรรมมีความสำคัญต่อการสร้างความดี ความงามของจิตใจที่ส่งผลให้บุคคลมีความประพฤติและการปฏิบัติที่ดี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม

โดยวิธีการสร้างแบบอย่างคุณลักษณะที่ดีงามด้านคุณธรรมจริยธรรมแก่คนในสังคมวิธีการหนึ่งคือ การนำเรื่องราว และคุณลักษณะต้นแบบของบุคคลในประวัติศาสตร์มาศึกษาเพื่อให้เป็นแบบอย่างให้เกิดความเข้าใจ และนำไปใช้เป็นต้นแบบทางสังคม

 

บุคคลในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นล้านนาที่ควรค่าแก่การนำมาเป็นแบบอย่างด้านคุณลักษณะเชิงคุณธรรม และจริยธรรมคือ ครูบาศรีวิชัย ซึ่งท่านเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ล้านนาที่มีคุณลักษณะต้นแบบเชิงจริยธรรม และคุณธรรมอย่างเด่นชัด และเหมาะสมแก่การนำเสนอสู่สังคม

ภูมิหลังของครูบาศรีวิชัย
จากการศึกษาภูมิหลังของครูบาศรีวิชัยพบว่า
ครูบาศรีวิชัยเกิด และดำเนินชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองหัวเมืองทางภาคเหนือโดยรัฐสยาม โดยเมืองลำพูนซึ่งเป็นหัวเมืองถูกปกครองโดยรัฐบาลสยามทำให้รูปแบบการปกครองมีลักษณะเป็นเจ้าผู้ครองจะได้รับการรับรองจากสยามให้เป็นผู้ดูแลหัวเมืองทางเหนือ พร้อมกับมีผู้ตรวจราชการที่ถูกส่งมาจากสยามคอยดูแลหัวเมืองมลฑลพายัพอีกชั้นหนึ่ง

การผนวกหัวเมืองเข้ากับรูปแบบการปกครองส่วนกลาง
และการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ. 2442 จนถึงยุคปฏิรูปการปกครองโดยคณะราษฎร ปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงเวลาร่วมสมัยกับครูบาศรีวิชัยที่มีชีวิตอยู่ รวมไปถึงบริบททางด้านศาสนาในช่วงชีวิตของครูบาศรีวิชัยนั้นรัฐบาลสยามได้ทำการปฏิรูปคณะสงฆ์ทั่วประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121

messageImage_1753625033806

โดยรวมศูนย์อำนาจไปขึ้นกับมหาเถรสมาคม พระราชบัญญัตินี้มีผลต่อสงฆ์ทั่วประเทศให้ปฏิบัติตาม และให้ยกเลิกจารีตดั้งเดิมของท้องถิ่นหากขัดกับพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 25 เมื่อมีการเข้ามาทำธุรกิจของชาวอังกฤษและชาวจีน ประกอบกับในปี พ.ศ. 2443 มีการออกพระราชบัญญัติการเก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. 119 ส่งผลให้ระบบไพร่และระบบการเกณฑ์แรงงานที่ขึ้นอยู่กับเจ้านายท้องถิ่นสิ้นสุดลง ไพร่กลายเป็นแรงงานอิสระ และชายฉกรรจ์ทุกคนต้องจ่ายค่าแรงแทนเกณฑ์ปีละ 4 บาทให้แก่รัฐโดยตรง อีกทั้งการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ที่เรียกเก็บเงินศึกษาพลี2 เพื่อเป็นค่าบำรุงการศึกษาจากชายฉกรรจ์อีกคนละ 1-3 บาท ด้วยความไม่พร้อมของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของล้านนาที่ยังไม่มีเงินตราใช้อย่างแพร่หลายส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนในหมู่ราษฎรทั่วไปจากการออกพระราชบัญญัตินี้ ดังกรณีของครูบาขาวปีซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยก็ถูกเรียกเก็บค่าการศึกษาพลีเป็นเงิน 8 บาทในระหว่างระยะเวลาสี่ปีที่อาศัยในพม่า จนมีผู้ขอเรี่ยไรเงินบริจาคจากชาวบ้านเพื่อนำไปจ่ายให้ครูบาขาวปีซึ่งไม่มีเงินติดตัวเลย จากสภาพทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมดังกล่าวทำให้ครูบาศรีวิชัยถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ด้านศาสนาจากอำนาจส่วนกลาง

นอกจากนี้การลดทอนอำนาจของกลุ่มเจ้านายฝ่ายเหนือลง ส่งผลให้ความไม่พอใจต่อวัฒนธรรมของสยามขยายตัวในวงกว้าง รวมถึงมีความพยายามในการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนาขึ้นมาใหม่จนทำให้เกิดการต่อต้านสยามของล้านนาในเวลาต่อมาอย่างไรก็ตาม การนำเสนอบทบาทของครูบาศรีวิชัยที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์เป็นเพียงด้านหนึ่งของการศึกษาเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัย เพราะนอกเหนือจากบทบาทดังกล่าวแล้ว หากศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลของครูบาศรีวิชัยแล้วท่านมีคุณลักษณะทั้งอุปนิสัยและจริยวัตรที่ดีงามตามอย่างคุณธรรมและจริยธรรมอย่างเด่นชัด โดยพิจารณาจากคำว่า คุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วยคำสองคำ คือ คำว่า คุณธรรม และคำว่าจริยธรรม โดยคำว่า คุณธรรม นั้นหมายถึง “สภาพคุณงามความดี” ซึ่งเป็นความดีงามทั้งทางกาย วาจา และใจ

ส่วนคำว่า จริยธรรม หมายถึงการประพฤติปฏิบัติของบุคคลที่แสดงออกถึงความดีงามทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม จากการสืบค้นและศึกษาประวัติของครูบาศรีวิชัยพบว่าท่านมีความโดดเด่นทั้งด้านคุณธรรมที่เป็นสภาพของคุณงามความดีและด้านจริยธรรมจากวัตรปฏิบัติที่ดีงามซึ่งเหมาะสมต่อการเป็นต้นแบบในการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมแก่คนไทยในปัจจุบัน

ประวัติของครูบาศรีวิชัย
การศึกษาประวัติของครูบาศรีวิชัย และการมีบทบาทด้านสังคม วัฒนธรรม และการพัฒนาศาสนสถานในท้องถิ่นล้านนาของครูบาศรีวิชัยนี้เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษาคุณลักษณะเชิงจริยธรรมและคุณธรรมของครูบาศรีวิชัย โดยอ้างอิงประวัติของครูบาศรีวิชัยจากหนังสือ “สารประวัติครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย” เรียบเรียงและปริวรรตโดย สิงฆะ วรรณสัย3 ครูบาศรีวิชัยเกิดปีขาลเดือน 9 เหนือ (เดือน 7 ของภาคกลาง) ขึ้น 11 ค่ำ จ.ศ. 1240 เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน 4 ท่านมีนามเดิมว่าเฟือน 5 หรือ อินท์เฟือน ซึ่งชื่อนี้ตั้งตามเหตุการณ์ธรรมชาติที่มีฝนตก พายุพัดและแผ่นดินไหวในวันที่ท่านเกิด บิดาของท่านชื่อควาย 6 บ้านสันป่ายางหลวง ส่วนมารดาชื่ออุสา เป็นคนเมืองลี้

รายละเอียดของชีวิตวัยเด็กของครูบาศรีวิชัยที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้มีประเด็นที่น่าสังเกตเกี่ยวกับเรื่องราวตอนเป็นเด็กที่ครูบาศรีวิชัยแอบปล่อยสัตว์ที่พ่อแม่นำมาขังเพื่อทำเป็นอาหาร จากที่สิงฆะ วรรณสัยสอบถามหลานชายของครูบาศรีวิชัย7 กลับบอกว่า “ไม่เคยได้ยินครูบาเล่าให้ฟัง” ส่วนเรื่องที่ครูบาศรีวิชัยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวตอนเป็นเด็กคือ ท่านชอบดนตรี เช่น ขลุ่ย ซึง และชอบขับลำนำ จ๊อย ซอ ตามแบบฉบับของหนุ่มล้านนาทั่วไป

ขณะที่เอกสารอื่นๆ ที่ศึกษาประวัติครูบาศรีวิชัยส่วนใหญ่จะกล่าวถึงประวัติตอนท่านเป็นเด็กว่าท่านมีมีจิตเมตตากรุณาแก่สิ่งมีชีวิตหลีกหนีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบางครั้งก็แอบปล่อยปลาหรือสัตว์อื่นๆ ที่นำมาเป็นอาหาร (สง่า สุภาภา, 2499, สมหมาย เปรมจิตต์, 2537, สมาคมลำพูน, 2561) อย่างไรก็ตาม พบว่าหนังสือที่นำเสนอประวัติครูบาศรีวิชัย รวมถึงหนังสือ “สารประวัติครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย” ให้ข้อมูลตรงกันเกี่ยวกับครูบาวิชัย

เมื่อครั้งยังเป็น นายเฟือน ว่าเป็นผู้สนใจใคร่รู้ในการศึกษาแต่ไม่สามารถเรียนได้ เนื่องจากบ้านปางในสมัยนั้นไม่มีทั้งสถานที่ศึกษาและวัดเพื่อบวชเรียน จนกระทั่งเมื่อนายเฟือนอายุได้ 17 ปีได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ตุ๊เจ้าขัตติ 8 หรือครูบาขัตติยะ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกท่านว่า ครูบาแฅ่งแคระเพราะท่านเดินขากระเผลก ครูบาขัตติยะเดินธุดงค์จากเมืองลำพูนมาถึงบ้านปาง ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านอยู่ประจำที่บ้านปาง และได้สร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา ด้วยจิตที่ใฝ่การศึกษานายเฟือนจึงไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หรือ ขะโยม กับครูบาขัตติยะ จนอายุได้ 18 ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาความรู้ด้านพระพุทธศาสนา และเมื่ออายุครบ 21 ปีในปี พ.ศ. 2442 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยครูบาสมณะเป็นพระอุปัชฌาย์ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง9 ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า “สิริวิชโย ภิกฺขุ” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า พระสีวิไชย หรือ พระศรีวิชัย ภายหลังอุปสมบทแล้วพระศรีวิชัยได้กลับมาจำพรรษาที่อารามบ้านปางท่านได้ศึกษาไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาจากครูบาขัตติยะ โดยพระศรีวิชัยได้สักหมึกดำทั้งสองขาตามแบบความนิยมของผู้ชายล้านนาในสมัยนั้นด้วย ต่อมาครูบาขัตติยะมรณภาพ (สิงฆะ วรรณสัย, 2522, น. 9) ข้อมูลบางแห่งบอกว่าได้จาริกออกจากบ้านปางไปจำพรรษาในถ้ำกลางป่าและต่อมาได้มรณภาพไป (สง่า สุภาภา, 2499, น. 32) พระศรีวิชัยจึงรักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาส เพราะท่านมีอายุพรรษามากที่สุดในวัด และเมื่อครบพรรษาที่ 5 ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง

ต่อมาพระศรีวิชัยได้พิจารณาสร้างวัดที่เป็นที่วิเวกห่างไกลจากบ้านเรือนผู้คนเพื่อผลด้านการปฏิบัติธรรม จึงชวนศรัทธาชาวบ้านช่วยกันสร้างวัดขึ้นใหม่บริเวณเนินเขาและให้ชื่อวัดใหม่แห่งนี้ว่า วัดศรีดอยชัยทรายมูลบุญเรือง (สิงฆะ วรรณสัย, 2522, น. 10) นับเป็นวัดแรกที่ครูบาศรีวิชัยได้สร้างขึ้นมาในปี พ.ศ. 2444

ต่อมาพระศรีวิชัยได้เดินทางไปศึกษาการปฏิบัติในกัมมัฏฐานกับครูบาอุปละ 10 วัดดอยแต แม่ทา ลำพูน 11 จนเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้ จึงกราบลาไปศึกษาต่อกับครูบาวัดดอยคำในด้านการปฏิบัติและปริยัติ แล้วกลับไปศึกษาเพิ่มเติมกับครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวงซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านอีกครั้งหนึ่ง พระศรีวิชัยจึงเข้าใจแจ่มแจ้งในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจในหลักไตรลักษณ์ มุ่งปฏิบัติในด้านธรรมะ สมาธิ และกัมมัฏฐานแต่เพียงอย่างเดียว ท่านได้
ละทิ้งเวทย์มนต์คาถาและไสยศาสตร์ทั้งหมดด้วยเห็นว่า “ไม่เป็นสาระ เป็นเหตุผูกพันอยู่กับสิ่งต่างๆ ไม่ใช่ทางหลุดพ้นจากความทุกข์” (สิงฆะ วรรณสัย, 2522, น. 10) การที่พระศรีวิชัยได้วิเวกทางกาย และจิตจึงเข้าสู่สมาธิ หยั่งลึกสู่วิปัสสนาญาณ และพากเพียรในการปฏิบัติกัมมัฏฐานมากขึ้นนี้ โสภา ชนะมูล (2534) ได้เสนอว่าการศึกษาวิปัสสนาของพระศรีวิชัยได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ส่งผลต่อแนวทางปฏิบัติและปณิธานของครูบาศรีวิชัย ซึ่งนำไปสู่ชนวนความขัดแย้งระหว่างแนวคิดที่เป็นจารีตประเพณีกับแนวคิดการปฏิรูปการปกครองในเวลาต่อมาสำหรับแนวทางปฏิบัติของครูบาศรีวิชัยนั้นได้มีการเสนอว่าท่านยึดตามแนวของพระสงฆ์นิกายเชียงใหม่ผสมกับนิกายยอง ซึ่งมีแนวการปฏิบัติและมีเครื่องบริขารเฉพาะ เช่น การนุ่งห่มที่เรียกว่า กุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวกหรือว่อม (ภาษาเหนือ) แขวนลูกประคำ ถือพัดขนหางนกยูงหรือพัดใบตาล บาตร และไม้เท้า ซึ่งยึดธรรมเนียมมาจากวัดดอยแต12 (สมาคมชาวลำพูน, 2561) ทั้งยังเสนอว่าความพากเพียรในการปฏิบัติกัมมัฏฐานและเคร่งครัดในพระวินัยของครูบาศรีวิชัยตั้งแต่เบื้องต้นคือ ท่านไม่แตะต้องลาภสักการะปัจจัย งดเว้นของเสพติด เช่น หมากดิบ หมากแห้ง พลู ยา (บุหรี่) เมี่ยง น้ำเมี่ยงโดยสิ้นเชิง (สมาคมชาวลำพูน, 2561) ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ และฉันอาหารมังสะวิรัติตั้งแต่อายุ 26 ปี เนื่องจากเหตุการณ์ที่ท่านฉันชิ้นส้ม (หมูส้มหรือแหนม) แล้วเกิดอาพาธท้องร่วงอย่างรุนแรงจนเกือบมรณภาพ หลังจากนั้นเมื่อท่านฉันเนื้อสัตว์ชนิดใดก็ตามก็เกิดอาพาธทุกครั้ง ท่านจึงต้องงดฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดเพราะท่านแพ้เนื้อสัตว์13 (สิงฆะ วรรณสัย, 2522, น. 11) และท่านยังฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทยเล็กน้อย บางครั้งทานก็งดฉันข้าวคงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมัน การฉันมังสะวิรัติของท่านนั้นให้พอเลี้ยงชีพบำรุงร่างกายเท่านั้นเพื่อได้อยู่บำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมีให้ยืนยาว (สมหมาย เปรมจิตต์, 2537) ด้วยครูบาศรีวิชัยมีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรมะอันสูงสุดดังปรากฏจากคำอธิษฐานบารมีที่ท่านอธิษฐานไว้ว่า

“…ตั้งปรารถนาขอหื้อได้ถึงธรรมะ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานสิ่งเดียว…”

และมักจะปรากฏความปรารถนาดังกล่าวในตอนท้ายของคัมภีร์ใบลานที่ท่านสร้างไว้ทุกเรื่อง (อ้างอิงใน โสภา ชนะมูล, 2534)

ครูบาศรีวิชัยได้ยึดแนวทางปฏิบัติและอุทิศตนเพื่อสร้างทานบารมี ศีลบารมีผ่านกิจกรรมทางพุทธศาสนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2447-2481 เช่น การสร้างและการบูรณปฏิสังขรณ์งานสถาปัตยกรรมเพื่อพุทธศาสนาและสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือ รวมถึงการสร้างทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความขัดแย้งที่สัมพันธ์กับบริบททางสังคม อำนาจรัฐ และจารีตประเพณี อาทิ การออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2445 การจัดตั้งระบบการปกครองสงฆ์ตามแนวทางของกรุงเทพฯ ที่ภิกษุสามเณรในล้านนาต้องปฏิบัติตามระเบียบใหม่ ส่งผลให้ครูบาศรีวิชัยถูกอธิกรณ์ถึง 3 ครั้ง กล่าวคือ

อธิกรณ์ระยะแรก ช่วงปี พ.ศ. 2451 – 2453 ครูบาศรีวิชัยถูกกล่าวหาในหลายกรณี เช่น เป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน ไม่ประพฤติตนให้เป็นไปตามคำสั่งของคณะสงฆ์ ไม่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพระครูมหารัตนากร เจ้าคณะแขวงลี้ ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ตาม พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ ฯลฯ ครูบาศรีวิชัยถูกกักบริเวณให้อยู่ในวัดพระธาตุหริภุญชัย 1 ปีอธิกรณ์ระยะที่สอง ช่วงปี พ.ศ. 2454-2464 อธิกรณ์พระศรีวิชัยครั้งที่สองนี้มีความเข้มข้นและรุนแรงขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่องจากอธิกรณ์ครั้งแรก ครูบาศรีวิชัยถูกกักบริเวณอยู่ในวัดศรีดอนชัย เชียงใหม่เป็นเวลา 3 เดือน จนสุดท้ายถูกนิมนต์ให้เข้าไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ เมื่อได้รับการวินิจฉัยความในปี พ.ศ. 2463 ให้กลับภูมิลำเนาได้ ครูบาศรีวิชัยจึงเดินทางกลับลำพูน บรรดาสานุศิษย์จัดขบวนต้อนรับ ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ประชาชนก็ยิ่งเพิ่มความเคารพศรัทธาและเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น การต้องอธิกรณ์ระยะที่สามของครูบาศรีวิชัยเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2478-2479 ซึ่งเป็นเวลาคาบเกี่ยวกับการสร้างทางขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ โดยครั้งนี้ครูบาศรีวิชัยต้องไปจำพรรษา ณ วัดเบญจมพิตร กรุงเทพฯ ด้วยข้อกล่าวหากระด้างกระเดื่องไม่ปรองดองกับคณะสงฆ์ ออกใบสุทธิเถื่อน ก่อสร้างบูรณะโดยไม่ขออนุญาตกรมศิลป์ ยุยงให้พระสงฆ์ออกจากการปกครองของรัฐ เป็นต้น (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ สร.0201.10/61)

ความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2451 เป็นต้นมา ตราบกระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตของครูบาศรีวิชัย โดยครูบาศรีวิชัยมรณภาพใน วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2481 ที่วัดบ้านปาง ขณะมีอายุได้ 60 ปี 9 เดือน 11 วัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 สิงฆะวรรณสัย ซึ่งขณะนั้นบวชเป็นพระจำพรรษา ณ วัดมหาวัน และท่านรับหน้าที่เป็นผู้กล่าวเวนทาน14 ในงานศพครูบาศรีวิชัย ได้เล่าว่าคณะสงฆ์และประชาชนได้ทำพิธีฌาปนกิจศพโดยขอพระราชทานเพลิงศพ และระบุว่าทางรัฐบาลได้ส่งช่างมาสร้างเมรุอย่างวิจิตรงดงามบริเวณใต้ต้นโพธิ์ ณ วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน และได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 (สิงฆะ วรรณสัย, 2522, น. 30) เมื่องานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นจึงได้มีการแบ่งอัฐิของครูบาศรีวิชัยไปบรรจุไว้ตามวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ เช่น ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และที่วัดบ้านปาง จังหวัดลำพูน อันเป็นวัดดั้งเดิมของท่าน

หนังสือชีวประวัติครูบาศรีวิชัย 3 เล่ม