ชีวประวัติครูบาศรีวิชัย
ครูบาศรีวิชัย : ประวัติของพระเถระผู้เป็นต้นแบบด้านคุณธรรม และจริยธรรมของล้านนา
ความสำคัญของการส่งเสริมให้คนไทยมีคุณลักษณะที่ดีพึงประสงค์ส่งผลให้คุณลักษณะเชิงคุณธรรมจริยธรรมมีความสำคัญตามไปด้วย เพราะคุณธรรม และจริยธรรมมีความสำคัญต่อการสร้างความดี ความงามของจิตใจที่ส่งผลให้บุคคลมีความประพฤติและการปฏิบัติที่ดี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม
โดยวิธีการสร้างแบบอย่างคุณลักษณะที่ดีงามด้านคุณธรรมจริยธรรมแก่คนในสังคมวิธีการหนึ่งคือ การนำเรื่องราว และคุณลักษณะต้นแบบของบุคคลในประวัติศาสตร์มาศึกษาเพื่อให้เป็นแบบอย่างให้เกิดความเข้าใจ และนำไปใช้เป็นต้นแบบทางสังคม

บุคคลในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นล้านนาที่ควรค่าแก่การนำมาเป็นแบบอย่างด้านคุณลักษณะเชิงคุณธรรม และจริยธรรมคือ ครูบาศรีวิชัย ซึ่งท่านเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ล้านนาที่มีคุณลักษณะต้นแบบเชิงจริยธรรม และคุณธรรมอย่างเด่นชัด และเหมาะสมแก่การนำเสนอสู่สังคม
ภูมิหลังของครูบาศรีวิชัย
จากการศึกษาภูมิหลังของครูบาศรีวิชัยพบว่า ครูบาศรีวิชัยเกิด และดำเนินชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองหัวเมืองทางภาคเหนือโดยรัฐสยาม โดยเมืองลำพูนซึ่งเป็นหัวเมืองถูกปกครองโดยรัฐบาลสยามทำให้รูปแบบการปกครองมีลักษณะเป็นเจ้าผู้ครองจะได้รับการรับรองจากสยามให้เป็นผู้ดูแลหัวเมืองทางเหนือ พร้อมกับมีผู้ตรวจราชการที่ถูกส่งมาจากสยามคอยดูแลหัวเมืองมลฑลพายัพอีกชั้นหนึ่ง
การผนวกหัวเมืองเข้ากับรูปแบบการปกครองส่วนกลาง และการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ. 2442 จนถึงยุคปฏิรูปการปกครองโดยคณะราษฎร ปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงเวลาร่วมสมัยกับครูบาศรีวิชัยที่มีชีวิตอยู่ รวมไปถึงบริบททางด้านศาสนาในช่วงชีวิตของครูบาศรีวิชัยนั้นรัฐบาลสยามได้ทำการปฏิรูปคณะสงฆ์ทั่วประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121



โดยรวมศูนย์อำนาจไปขึ้นกับมหาเถรสมาคม พระราชบัญญัตินี้มีผลต่อสงฆ์ทั่วประเทศให้ปฏิบัติตาม และให้ยกเลิกจารีตดั้งเดิมของท้องถิ่นหากขัดกับพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 25 เมื่อมีการเข้ามาทำธุรกิจของชาวอังกฤษและชาวจีน ประกอบกับในปี พ.ศ. 2443 มีการออกพระราชบัญญัติการเก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. 119 ส่งผลให้ระบบไพร่และระบบการเกณฑ์แรงงานที่ขึ้นอยู่กับเจ้านายท้องถิ่นสิ้นสุดลง ไพร่กลายเป็นแรงงานอิสระ และชายฉกรรจ์ทุกคนต้องจ่ายค่าแรงแทนเกณฑ์ปีละ 4 บาทให้แก่รัฐโดยตรง อีกทั้งการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ที่เรียกเก็บเงินศึกษาพลี2 เพื่อเป็นค่าบำรุงการศึกษาจากชายฉกรรจ์อีกคนละ 1-3 บาท ด้วยความไม่พร้อมของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของล้านนาที่ยังไม่มีเงินตราใช้อย่างแพร่หลายส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนในหมู่ราษฎรทั่วไปจากการออกพระราชบัญญัตินี้ ดังกรณีของครูบาขาวปีซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยก็ถูกเรียกเก็บค่าการศึกษาพลีเป็นเงิน 8 บาทในระหว่างระยะเวลาสี่ปีที่อาศัยในพม่า จนมีผู้ขอเรี่ยไรเงินบริจาคจากชาวบ้านเพื่อนำไปจ่ายให้ครูบาขาวปีซึ่งไม่มีเงินติดตัวเลย จากสภาพทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมดังกล่าวทำให้ครูบาศรีวิชัยถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ด้านศาสนาจากอำนาจส่วนกลาง

นอกจากนี้การลดทอนอำนาจของกลุ่มเจ้านายฝ่ายเหนือลง ส่งผลให้ความไม่พอใจต่อวัฒนธรรมของสยามขยายตัวในวงกว้าง รวมถึงมีความพยายามในการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนาขึ้นมาใหม่จนทำให้เกิดการต่อต้านสยามของล้านนาในเวลาต่อมาอย่างไรก็ตาม การนำเสนอบทบาทของครูบาศรีวิชัยที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์เป็นเพียงด้านหนึ่งของการศึกษาเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัย เพราะนอกเหนือจากบทบาทดังกล่าวแล้ว หากศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลของครูบาศรีวิชัยแล้วท่านมีคุณลักษณะทั้งอุปนิสัยและจริยวัตรที่ดีงามตามอย่างคุณธรรมและจริยธรรมอย่างเด่นชัด โดยพิจารณาจากคำว่า คุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วยคำสองคำ คือ คำว่า คุณธรรม และคำว่าจริยธรรม โดยคำว่า คุณธรรม นั้นหมายถึง “สภาพคุณงามความดี” ซึ่งเป็นความดีงามทั้งทางกาย วาจา และใจ
ส่วนคำว่า จริยธรรม หมายถึงการประพฤติปฏิบัติของบุคคลที่แสดงออกถึงความดีงามทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม จากการสืบค้นและศึกษาประวัติของครูบาศรีวิชัยพบว่าท่านมีความโดดเด่นทั้งด้านคุณธรรมที่เป็นสภาพของคุณงามความดีและด้านจริยธรรมจากวัตรปฏิบัติที่ดีงามซึ่งเหมาะสมต่อการเป็นต้นแบบในการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมแก่คนไทยในปัจจุบัน
ประวัติของครูบาศรีวิชัย
การศึกษาประวัติของครูบาศรีวิชัย และการมีบทบาทด้านสังคม วัฒนธรรม และการพัฒนาศาสนสถานในท้องถิ่นล้านนาของครูบาศรีวิชัยนี้เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษาคุณลักษณะเชิงจริยธรรมและคุณธรรมของครูบาศรีวิชัย โดยอ้างอิงประวัติของครูบาศรีวิชัยจากหนังสือ “สารประวัติครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย” เรียบเรียงและปริวรรตโดย สิงฆะ วรรณสัย3 ครูบาศรีวิชัยเกิดปีขาลเดือน 9 เหนือ (เดือน 7 ของภาคกลาง) ขึ้น 11 ค่ำ จ.ศ. 1240 เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน 4 ท่านมีนามเดิมว่าเฟือน 5 หรือ อินท์เฟือน ซึ่งชื่อนี้ตั้งตามเหตุการณ์ธรรมชาติที่มีฝนตก พายุพัดและแผ่นดินไหวในวันที่ท่านเกิด บิดาของท่านชื่อควาย 6 บ้านสันป่ายางหลวง ส่วนมารดาชื่ออุสา เป็นคนเมืองลี้

รายละเอียดของชีวิตวัยเด็กของครูบาศรีวิชัยที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้มีประเด็นที่น่าสังเกตเกี่ยวกับเรื่องราวตอนเป็นเด็กที่ครูบาศรีวิชัยแอบปล่อยสัตว์ที่พ่อแม่นำมาขังเพื่อทำเป็นอาหาร จากที่สิงฆะ วรรณสัยสอบถามหลานชายของครูบาศรีวิชัย7 กลับบอกว่า “ไม่เคยได้ยินครูบาเล่าให้ฟัง” ส่วนเรื่องที่ครูบาศรีวิชัยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวตอนเป็นเด็กคือ ท่านชอบดนตรี เช่น ขลุ่ย ซึง และชอบขับลำนำ จ๊อย ซอ ตามแบบฉบับของหนุ่มล้านนาทั่วไป
ขณะที่เอกสารอื่นๆ ที่ศึกษาประวัติครูบาศรีวิชัยส่วนใหญ่จะกล่าวถึงประวัติตอนท่านเป็นเด็กว่าท่านมีมีจิตเมตตากรุณาแก่สิ่งมีชีวิตหลีกหนีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบางครั้งก็แอบปล่อยปลาหรือสัตว์อื่นๆ ที่นำมาเป็นอาหาร (สง่า สุภาภา, 2499, สมหมาย เปรมจิตต์, 2537, สมาคมลำพูน, 2561) อย่างไรก็ตาม พบว่าหนังสือที่นำเสนอประวัติครูบาศรีวิชัย รวมถึงหนังสือ “สารประวัติครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย” ให้ข้อมูลตรงกันเกี่ยวกับครูบาวิชัย
เมื่อครั้งยังเป็น นายเฟือน ว่าเป็นผู้สนใจใคร่รู้ในการศึกษาแต่ไม่สามารถเรียนได้ เนื่องจากบ้านปางในสมัยนั้นไม่มีทั้งสถานที่ศึกษาและวัดเพื่อบวชเรียน จนกระทั่งเมื่อนายเฟือนอายุได้ 17 ปีได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ตุ๊เจ้าขัตติ 8 หรือครูบาขัตติยะ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกท่านว่า ครูบาแฅ่งแคระเพราะท่านเดินขากระเผลก ครูบาขัตติยะเดินธุดงค์จากเมืองลำพูนมาถึงบ้านปาง ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านอยู่ประจำที่บ้านปาง และได้สร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา ด้วยจิตที่ใฝ่การศึกษานายเฟือนจึงไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หรือ ขะโยม กับครูบาขัตติยะ จนอายุได้ 18 ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาความรู้ด้านพระพุทธศาสนา และเมื่ออายุครบ 21 ปีในปี พ.ศ. 2442 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยครูบาสมณะเป็นพระอุปัชฌาย์ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง9 ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า “สิริวิชโย ภิกฺขุ” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า พระสีวิไชย หรือ พระศรีวิชัย ภายหลังอุปสมบทแล้วพระศรีวิชัยได้กลับมาจำพรรษาที่อารามบ้านปางท่านได้ศึกษาไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาจากครูบาขัตติยะ โดยพระศรีวิชัยได้สักหมึกดำทั้งสองขาตามแบบความนิยมของผู้ชายล้านนาในสมัยนั้นด้วย ต่อมาครูบาขัตติยะมรณภาพ (สิงฆะ วรรณสัย, 2522, น. 9) ข้อมูลบางแห่งบอกว่าได้จาริกออกจากบ้านปางไปจำพรรษาในถ้ำกลางป่าและต่อมาได้มรณภาพไป (สง่า สุภาภา, 2499, น. 32) พระศรีวิชัยจึงรักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาส เพราะท่านมีอายุพรรษามากที่สุดในวัด และเมื่อครบพรรษาที่ 5 ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง
