วิถีพัฒนา
ครูบาผู้ปลุกแผ่นดินให้ตื่น ด้วยศรัทธาและการลงมือทำ
ด้วยวิถีแห่งผู้นำทางจิตวิญญาณ ครูบาศรีวิชัยริเริ่มสร้างถนน สะพาน และวัดวาอาราม เพื่อเชื่อมโยงผู้คน เข้าถึงธรรมะ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืน

วิถีแห่งการพัฒนาจากอดีตสู่ปัจจุบัน “วิถีครูบาศรีวิชัย”สร้างประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างไร
บารเมศ วรรณสัย
วิถีของครูบาศรีวิชัย ผ่านจากวิธีปฏิบัติ แนวคิด เป้าประสงค์ในการดำรงชีวิต ของท่านตั้งแต่เกิด จนถึงวันตาย จากการปฏิบัติและการตั้งปณิธานอันมุ่งมั่น
หื้อข้าได้ตรัสผญาสัพพัญญูโพธิญาณ” (ปรารถนาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง) ครูบาศรีวิชัยจึงอุทิศตนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ผ่านวิถีการปฏิบัติที่ทรงคุณค่า ที่เรียกว่า “วิถีครูบาศรีวิชัย” ซึ่งได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศไทยและหลายประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (นานาประเทศ)
ครูบาศรีวิชัยได้อุทิศตนให้กับการศึกษาและปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาสามคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านเป็นต้นแบบของการนาหลักธรรมทางพุทธศาสนาไปสอดแทรกในวิถีการดาเนินชีวิตของผู้คน เช่น ทาน ศีล ภาวนา และ บารมี
ทำให้การสอนหลักธรรมเป็นการพัฒนาสติและพัฒนาชีวิตของผู้คนได้อย่างเป็นรูปธรรม ท่านยังเป็นผู้นาในการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมล้านนา และเป็นผู้นาการพัฒนาจิตใจและสาธารณประโยชน์ จากแนวคิดและการปฏิบัตินี้จึงเรียกว่า “วิถีครูบาศรีวิชัย” ที่ได้รับสืบทอดและใช้เป็นแนวทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาและในการพัฒนาและมาจนถึงปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
จากการทำงานตามแนวคิดในหลักการของคำว่า “วิถีครูบาศรีวิชัย” จึงเกิดประโยชน์อย่างมากมาย สืบต่อมาขนถึงปัจจุบัน จากยุค ที่ใครจะทำอะไร จะสร้างอะไร ในสมัยที่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่ การนิมนต์ครูบาไปเป็นประธาน (นั่งหนัก) ในการก่อสร้าง วัดวาอาราม การพัฒนาสาธารณูประโภค ในสิบจังหวัดภาคเหนือเป็นจำนวนมาก เช่น
การสร้างทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ การไปสร้างบูรณะวัดพระเจ้าตนหลวง จังหวัดพะเยา สร้างบูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน บูรณะวัดพระธาตุดอยตุง และวัดอื่นๆอีกมามายทั่วทั้งภาคเหนือ โดยมีลูกศิษย์ของท่าน ได้ทำงานร่วมกับท่านครูบา ได้ซึมซับเอาวิธีคิดวิธีทำงานของท่าน มาสานต่อ อีกหลายวัด เช้านครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอ ป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้สืบสานต่อ ในการพัฒนาวัดพระพุทธบาทตากผ้า เจริญรุ่งเรืองสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
ครูบาขาวปี ก็ใช้ในวิธีของท่านในการบูรณะวัดวาอารามต่างๆ อีกมากมาย ทั่งในอำเภอลี้ อำเภอฮอด และข้ามไปถึงจังหวัดสุโขทับ และสร้างวิหาร กุฎิวัดพระพุทธบาทผาหนาม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
ครูบาวงค์ษาพัฒนา ลูกศิษย์ ของครูบาขาวปี และเป็นเณรในสมัยที่ครูบาไปนั่งหนักในการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ได้นำแนวคิดสืบต่อจากพระอาจารย์ มาสร้างวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และรวบรวมชาติพันธุ์กะเหรี่ยง นับถือศีล 5 ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ มาจนถึงปัจจุบัน
พระครูเวฬูวันพิทักษ์ (ท่านมหาเขื่อนคำ) ลูกศิษย์ครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ได้กลับไปพัฒนาวัดที่เมืองยอง ประเทศเมียนมา เมืองชาติพันธุ์ ของท่าน พัฒนาวัดพระธาตุจอมยอม และนำพระเณรจากเมืองยอง มาเรียนหนังสือและเรียนรู้การพัฒนา นำต้นแบบจากครูบาศรีวิชัย เอา “วิถีครูบาศรีวิชัย”ไปพัฒนาวัดวาอารามต่างๆที่เมืองยองประเทศเมียนมา และลูกศิษย์ของท่าน ขยายต่อไปยังเมืองต่างๆในสิบสองพันนา ประเทศจีน ซึ่งยังคงวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดของพระครูเวฬุวันพิทักษ์ ได้สืบต่อไปยังพระรุ่นใหม่ จากเมืองยองพม่า จากสิบสองปันนาประเทศจีน ส่วนใหญ่ได้เข้ามาศึกษาที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน และวัดต่างๆทั่วภาคเหนือ ได้เรียนรู้จากพระอาจารย์พระสงฆ์ที่เป็นสายเรียนรู้แบบครูบา มครูบาเป็นต้นแบบ จึงรับรู้เรื่องราวของครูบา ที่เป็นต้นแบบของพระสงฆ์ในล้านนา จึงนำมาใช้ในการพัฒนาพระพุทธศาสนาและนำศิลปะวัฒนธรรมล้านนามาพัฒนาวัดในบ้านของตนเอง เช่นที่ วัดป่าเจ เมืองฮุน เมืองฮาย เมืองสิบสองพันนา และเมืองยอง เมืองพะยาก เมืองเชียงตุงประเทศพม่า จึงเป็นการเชื่อมต่อ ฟื้นฟูสืบต่อพระพุทธศาสนา งานศิลปะ บูรณะ ปฏิสังขรณ์ ในบ้านเมืองของตนเอง
ใน สปป ลาว สาธุใหญ่คำจันทร์ แห่งเมืองหลวงพระบาง ได้เดินทางมาที่ เชียงใหม่ ใน ปี พ.ศ.2505 เห็นทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ได้รับรู้ว่าสร้างโดยครูบาศริชัย ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวล้านนา โดยอาศัยตัวท่านเป็นต้นแบบมาเป็นประธาน จึงไดแนวคิดตั้งจิตคิดว่าพระสงฆ์ก็สามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาวัดได้ จึงนำวิธีคิดแบบครูบาไปใช้ใน สปป ลาว สร้างบูรณะ วัดในหลวงพระบาง และรุ่นต่อมาพระสงฆ์ใน เมืองหลวงพระบางได้มาศึกษาที่เชียงใหม่ และลำพูน ได้เรียนและรับรู้เรื่องราวของครูบาศรีวิชัย ทำให้เกิด “แรงบันดาลใจ”นำมาเป็นต้นคิดในการพัฒนาพระพุทธศาสนา และวิธีปฎิบัติในการสร้างสรรค์สังคม ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx




ครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน
ครูบาขาวปี วัดพระธาตุผาหนาม ลำพูน
ครูบาบุญชุ่ม วัดพระธาตุดอนเรือง
ครูบาเทือง วัดบ้านเด่น เชียงราย
ครูบาอริยชาติ วัดแสงแก้วโพธิญาณ เชียงใหม่

การสืบสานวิถีครูบาศรีวิชัย ด้านการพัฒนา
แนวคิดส่วนร่วมในการพัฒนา “วิถีครูบางานหน้าหมู่” ได้รับแรงบันดาลใจจากครูบาศรีวิชัย ผู้เป็นต้นแบบแห่งการเสียสละและการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยเฉพาะการร่วมแรงร่วมใจในการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาโดยชุมชนและเพื่อชุมชน
ปัจจุบันแนวคิดนี้ยังคงสืบสานอยู่ในหลายพื้นที่ของจังหวัดลำพูนโดยเฉพาะการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลต่าง ๆ ที่ร่วมกันนำแนวคิดนี้มาใช้ในการพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การก่อสร้างฝาย กำแพงหิน ถนนคอนกรีต ลานอเนกประสงค์ ไปจนถึงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุและผู้พิการ
หัวใจสำคัญของ “งานหน้าหมู่” คือการมีส่วนร่วมของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมคิด ร่วมแรง ร่วมทุน หรือร่วมดูแลรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน โดยอาศัยทุนทางวัฒนธรรม ความศรัทธา และความสามัคคีเป็นแกนกลางของการขับเคลื่อนงานพัฒนา ตัวอย่างเช่น การก่อสร้างฝายเพื่อกักเก็บน้ำโดยมีทั้งชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ และจิตอาสาร่วมแรงกันอย่างพร้อมเพรียง รวมถึงการเทคอนกรีตลานหมู่บ้านโดยได้รับงบประมาณจากท้องถิ่นและใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เอง
การดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ได้รับการยอมรับในระดับประเทศในฐานะพื้นที่ต้นแบบที่มีการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน (อบจ.ลำพูน) ตั้งกองทุนฯ ขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2555 ภายใต้แนวคิดที่เน้นความร่วมมือในฐานะ “หุ้นส่วน” มากกว่าความสัมพันธ์แบบสายบังคับบัญชา การดำเนินงานของกองทุนจึงสะท้อนความเป็นอิสระในการบริหารงานท้องถิ่น พร้อมยึดหลักวัฒนธรรมชุมชนในแนวทาง “วิถีครูบางานหน้าหมู่” ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของความร่วมแรงร่วมใจโดยไม่แบ่งแยกหน้าที่
โดย “งานหน้าหมู่” หมายถึงงานส่วนกลางที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง การยึดแนวคิดนี้ ทำให้การทำงานของ อบจ.ลำพูน ได้รับการขับเคลื่อนโดยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และประชาชนในพื้นที่
โครงสร้างการบริหารกองทุนฯ ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารระดับจังหวัด โดยมีนายก อบจ. เป็นประธาน และมีหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ และภาคีเครือข่ายร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิด กองทุนเน้นการสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ การฟื้นฟูสมรรถภาพในชุมชน และการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อบจ.ลำพูนได้จัดทำหลักเกณฑ์เฉพาะของตนเอง โดยอิงกับนโยบายระดับชาติและปรับให้สอดคล้องกับบริบทชุมชน เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและพิจารณาโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างคล่องตัวและตรงกลุ่มเป้าหมาย
ความสำเร็จของกองทุนฟื้นฟูฯ จังหวัดลำพูน ยังสะท้อนอยู่ในการพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันดำเนินงาน เช่น การปรับสภาพแวดล้อมบ้านผู้พิการ โดยตั้งเป้าหมายให้แต่ละพื้นที่ดำเนินการอย่างน้อยพื้นที่ละ 5 ราย กระบวนการนี้เริ่มจากการส่งคำร้องโดย อปท. หรือเทศบาลในพื้นที่ แล้วร่วมกับคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตลงพื้นที่สำรวจ ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการกองทุนอนุมัติ และใช้แรงงานอาสาในชุมชนดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการพึ่งพาตนเองของชุมชนอย่างแท้จริง
ผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีงบประมาณรวมจาก สปสช. และ อบจ. รวม 30 ล้านบาท และใช้จ่ายไปแล้วกว่า 70% ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงบ้านพักอาศัย 360 หลัง การจัดหาอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการจำนวนกว่า 1,700 รายการ ตลอดจนการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม อบจ.ลำพูนยังได้เสนอข้อคิดเพิ่มเติมว่า แม้ความร่วมมือจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ระเบียบและกฎหมายส่วนกลางบางประการยังเป็นข้อจำกัดต่อความคล่องตัวของการดำเนินงาน เช่น ความล่าช้าในการจัดสรรอุปกรณ์หรือบริการบางประเภท ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้รับบริการไม่ได้รับประโยชน์อย่างทันท่วงที
กล่าวโดยสรุป กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพ อบจ.ลำพูน คือตัวอย่างของการบูรณาการงานนโยบายระดับชาติให้ลงสู่ระดับพื้นที่อย่างสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการทำงานที่ตั้งอยู่บนฐานวัฒนธรรมชุมชน ความเข้าใจในท้องถิ่น และความร่วมมือของทุกภาคส่วน “วิถีครูบางานหน้าหมู่” จึงมิใช่เพียงแค่แนวคิด หากแต่เป็นหลักปฏิบัติที่จับต้องได้ ซึ่งควรได้รับการยกย่องและต่อยอดเป็นแบบอย่างในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ
